แต่หากยาใดที่เคยใช้ หรือรับประทานแล้วเกิดอาการแพ้ยา หรืออาการข้างเคียงจนไม่สามารถรับประทานต่อ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากมีการแพ้ซ้ํา จึงต้องจําชื่อยานั้น ๆ ให้ได และทุกครั้งที่ไปรับบริการที่โรงพยาบาล สถานพยาบาล หรือแม้แต่ร้านยา ต้องแจ้งว่าเคยแพ้ยา หรือไม่เคย และหากเคย ยานั้นมี ชื่ออะไร หรือยื่นบัตรแพ้ยา ที่ได้รับจากโรงพยาบาล จําไว้นะครับ “แพ้ยาซ้ำ อาจตายได้”
กรณีที่มียามากมาย ควรสอบถามเภสัชกรให้ชัดเจน โดยให้เภสัชกรเขียนเอกสาร คําอธิบายให้ เวลาไปโรงพยาบาลควรนํายาที่มีใส่ถุง เพื่อนําไปให้เภสัชกรช่วยตรวจสอบว่ายาเหล่านั้นสามารถนํามาใช้ได้หรือไม่ จําเป็นต้องใช้ต่อหรือเปล่า ยาที่มีเหลืออยู่เกิดเนื่องจากอะไร ผู้ป่วยรับประทานถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นการนํายาที่มีอยปัจจุบันทั้งหมดติดตัวไป ไม่ว่าจะได้มาจากแหล่งใด จะมีประโยชน์อีกหลายประการ ได้แก่
1. แพทย์ก็จะไม่จ่ายยาที่เรามี เราก็ไม่ต้องจ่ายเงินค่ายาเพื่อได้ยาซ้ําเดิมที่ยังคงเหลืออยู่ ประเทศสามารถประหยัดงบประมาณเรื่องยาไปได้
2. แพทย์ หรือเภสัชกร เห็นยาเดิมก็จะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันการจ่ายยาที่เกิด อันตรกริยาต่อกัน หรือยาตีกัน เพราะยาบางชนิดหากรับประทานร่วมกัน ฤทธิ์ยาจะ ขัดแย้งกันเอง ในขณะที่ยาบางชนิดจะเสริมฤทธิ์ส่งผลให้ฤทธิ์ของยามากเกินจนเป็นพิษ
เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือด หากใช้ร่วมกับยาแก้ปวด/แก้ อักเสบกล้ามเนื้อ จะเพิ่มความเสี่ยงตอเลือดออกได้ง่าย
3. เภสัชกรช่วยตรวจสอบอายุยา การเสื่อมสภาพ
4. ป้องกันการแพ้ยาซ้ำซ้อน หากนํายาที่แพ้ติดตัวมาได้ แพทย์จะไม่จ่ายยาหรือกลุ่มยาที่แพ้ให้อีก
5. ในการซักถามผู้ป่วย เภสัชกรอาจสามารถระบุปัจจัยสาเหตุของปัญหาความร่วมมือในการใช้ยา และวางแผนร่วมกันกบผู้ป่วยในการจัดการปัญหาอย่างเหมาะสม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น